Search Results | TheCollectiveStudio
top of page

Search Results

275 items found for ""

  • LUNGANEAK [Industrial]

    Category : Industrial Design by : Collective Studio งานออกแบบโรงงานขนมไทย และสำนักงานของแบรนด์ ลุงอเนกขนมไทยเมืองเพชรบุรี ตัวอาคารออกแบบให้ได้อารมณ์แบบโรงงานต่างประเทศสไตล์ยุคเก่าที่ใช้อิฐเป็นส่วนตกแต่งและโครงสร้างของอาคาร

  • KITCHEN LAO : FASHION ISLAND

    Category : F&B Design by : Collective Studio Constructed by : D-Charearn Location : Bangkok Area : 80 sq.m. Year : 2017 Photo Credit : Kopchai Limpanataywin สายแซ่บต้องมา กับงานออกแบบร้านนี้ "คิด เช่น ลาว" อาหารคือวัฒนธรรมของมนุษย์... อาหารพื้นเมืองของเราต่างก็มีจุดร่วมจุดต่างกันไปในแต่ละพื้นถิ่น จริงแล้วเราไม่สามารถแบ่งแยกวัฒนธรรมความเป็นไทย พม่า ลาว กัมพูชา ได้ขาดหรอก เพราะต่างก็มีจุดร่วมทางวัฒนธรรมเดียวกัน แล้วแตกรายละเอียดที่ต่างกันไปเท่านั้นเอง ชื่อประเทศที่เรียกๆกันมาก็เพิ่งจะตั้งกันมายังไม่กี่ปีเลย เทียบกับวัฒนธรรมที่ร่วมกันมาไม่ได้สักกะนิด การที่ร้านจะชื่อ ลาว โทนสีเป็น ไทย ครกที่ใช้ตำบักหุ่งจะใช้ของเขมรก็คงไม่รู้สึกว่ามันคือความแตกต่างอะไรกัน โทษที พล่ามมายาวไปนิด เข้าเรื่องดีกว่า.... พวกเราได้รับโจทย์งานมางานหนึ่ง เป็นการปรับปรุงร้านอาหารในห้างสรรพสินค้า ที่เจ้าของต้องก่อสร้างตกแต่งได้เร็ว เพราะมีเวลาทำไม่มาก ประกอบกับร้านอาหารเดิมที่เช่าต่อมาสภาพภายในยังดีอยู่ เจ้าของใหม่ก็อยากจะใช้ของเดิมบางส่วนมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นี่ก็เป็นโจทย์หลักสำคัญในการออกแบบ แต่ก็ยังคงอยากให้ใส่บรรยากาศแบบคอลเลคทีฟ !!! น่านไง.. มาดูบรรยากาศร้านเดิม ร้านอาหารอีสานอะไร จืดจุงเบย.... บอกว่าอาหารแซ่บก็ไม่ค่อยจะเชื่อหรอกนะ เริ่มด้วยการเลือกวัสดุ กำหนดโทนสีและบรรยากาศของงานก่อน ใช้สีไทยโทนมาเป็นหลักในการวางกำหนดสีบรรยากาศ และกำหนดวัสดุที่ใช้คร่าวๆเป็นแนวทาง ให้ลูกค้าเห็นภาพก่อน เพียงไม่กี่ชั่วยาม เราก็บันดาลร้านให้ใหม่ เป็นไงล่ะ น่ากินขึ้นไหม ตกแต่งด้วยวัสดุธรรมชาติ จัดวางเรียบง่าย แต้มน้ำหนักสี ตามแต่ละจุดให้มีมิติ โปรยด้วยกราฟฟิก ที่สื่อถึงวัตถุดิบที่ใช้ทำอาหาร ที่ผสมทั้งความเป็นพื้นเมืองและสากลเข้าด้วยกัน งานนี้เราออกแบบอยู่บนพื้นฐานของการใช้ประโยชน์จากของเดิมที่มีอยู่ งบประมาณที่จำกัด และใช้เวลาตกแต่งไม่นาน แต่ข้อจำกัดเหล่านี้ไม่ได้มีผลที่ทำให้งานจะออกมาสวยไม่ได้ เพียงแต่แค่เราจะพอดีกับมันแค่ไหน งานตกแต่งก็เหมือนอาหาร มันก็มีหลายระดับราคา เนื้อย่างจานนึงก็มีให้กินตั้งแต่รถเข็นริมทางไปยันโรงแรม ๕ ดาว ราคา ๕๐ - ๕,๐๐๐บาท อยู่ที่ว่าคุณเข้าร้านระดับไหนและความคาดหวังมากน้อยเท่าไหร่ เช่นเดียวกับงานตกแต่ง ที่เราพยายามใส่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆ แต่พองาม ไม่ให้เกินหน้าเกินตาอาหารในร้าน เมื่ออยู่ในบรรยากาศและรสชาติที่พอดีกัน อาหารมื้อนั้นย่อมที่จะอร่อยคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป ร้าน "คิด เช่น ลาว" อยู่ที่ห้างแฟชั่น ไอส์แลนด์ มีโอกาสลองแวะไปชิมอาหารไทย ลาว กันได้ คิวอาจจะยาวนิดนึงถ้าเป็นวันหยุด แต่ลองเถอะคุ้มค่าแน่นอน ไม่อร่อยไปโทษเจ้าของร้านได้เลย ๕๕๕๕

  • CHANTABURI GEM AND JEWELRY MUSEUM

    Project : พิพิธภัณฑ์อัญมณีและเครื่องประดับจังหวัดจันทบุรี Location : Chantaburi, Thailand Interior Design : The Collective Studio Category : Museum & Exhibition Year : 2012 งานออกแบบพิพิธภัณฑ์อัญมณีและเครื่องประดับจังหวัดจันทบุรี ที่เราได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบงานนี้ เป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆที่แม้จะมีงบประมาณในการทำงานไม่ได้สูง แต่เราก็พยายามทำออกมาให้สวยงามและน่าสนใจ โดยเฉพาะการเรียบเรียงเนื้อหาเกี่ยวกับอัญมณีที่มีไว้อย่างสมบูรณ์ และแอบมีความอลังการอยู่ด้านใน มีการรวบรวมเครื่องประดับที่น่าสนใจจากทั่วโลกมาไว้ที่นี่ ใครมีโอกาสไปเที่ยวจันทบุรีก็ไปก็แวะไปชมนะครับ ---------------------------------------- The Collective Studio Co., Ltd. Architecture & Interior Design www.ctstu.com Tel. 094 442 4652 Email: collectivetalk@gmail.com ติดตามข่าวสารและเรื่องราวที่น่าสนใจของพวกเราได้ที่นี่ Line : Facebook : Instagram : Twitter : Website : Youtube

  • LOEI MUSEUM

    Location : Loei, Thailand Interior Design : The Collective Studio Category : Museum & Exhibition Year : 2015 งานปรับปรุงพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นจังหวัดเลย ที่ได้ออกแบบร่วมกับบริษัท เอ-เซเว่น คอร์ปอเรชั่น จำกัด เช่นเคย ด้วยความที่ทางหน่วยงานเห็นว่าควรมีการปรับปรุงพิพิธภัณฑ์หลายๆแห่งในจังหวัด จึงได้ทำกันเป็นแพคใหญ่เลย คือประกอบด้วย 1. พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเลย 2. พิพิธภัณฑ์ชุมชนวัดศรีภูมิ 3. พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นด่านซ้าย 4. พิพิธภัณฑ์ผีตาโขน 5. พิพิธภัณฑ์วัดศรีจันทร์ 6. พิพิธภัณฑ์หอพระเเก้วอาสา เรียกได้ว่าออกแบบทีเดียวทั้งจังหวัดเลย เป็นอย่างไรบ้างลองดูกันครับ พิพิธภัณฑ์ชุมชนวัดศรีภูมิ พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นด่านซ้าย พิพิธภัณฑ์ผีตาโขน พิพิธภัณฑ์วัดศรีจันทร์ พิพิธภัณฑ์หอพระเเก้วอาสา ---------------------------------------- The Collective Studio Co., Ltd. Architecture & Interior Design www.ctstu.com Tel. 094 442 4652 Email: collectivetalk@gmail.com ติดตามข่าวสารและเรื่องราวที่น่าสนใจของพวกเราได้ที่นี่ Line : Facebook : Instagram : Twitter : Website : Youtube

  • BEADS MUSEUM & U-THONG LEARNING CENTER

    Project : พิพิธภัณฑ์ลูกปัดทวารวดีอู่ทอง และศูนย์เรียนรู้เมืองโบราณอู่ทอง Location : Supanburi, Thailand Interior Design : The Collective Studio Category : Museum & Exhibition Year : 2017 งานออกแบบนิทรรศการภายในพิพิธภัณฑ์ลูกปัดฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง จ.สุพรรณบุรี เป็นโครงการที่ทางคอลเลคทีฟ สตูดิโอได้ออกแบบร่วมกับ บริษัท เอ-เซเว่น คอร์ปอเรชั่น จำกัด เป็นงานที่เล่าความเป็นมาและความสำคัญของลูกปัดที่มีต่อวิถีชีวิต และวัฒนธรรมของคนที่อู่ทองนี้และทั่วภูมิภาค ไม่คิดว่าลูกปัดที่เราเห็นได้ทั่วไปในยุคปัจจุบันจะมีค่ามากมายในอดีต อีกหนึ่งงานนิทรรศการและพิพิธภัณฑ์ที่พวกเราตั้งใจศึกษาข้อมูลและทำออกมาครับ ---------------------------------------- The Collective Studio Co., Ltd. Architecture & Interior Design www.ctstu.com Tel. 094 442 4652 Email: collectivetalk@gmail.com ติดตามข่าวสารและเรื่องราวที่น่าสนใจของพวกเราได้ที่นี่ Line : Facebook : Instagram : Twitter : Website : Youtube

  • สัดส่วนนั้น สำคัญไฉน?

    วันก่อนมีเพื่อนเอาแบบบ้านที่กำลังจะสร้างมาให้ช่วยปรับให้หน่อย บอกว่ามีความรู้สึกว่ามันขาดๆเกินๆอะไรบางอย่างบอกไม่ถูก แต่รู้สึกว่ามันไม่สวย ทั้งๆที่ทำแบบมาจนถึงขั้นเขียนแบบก่อสร้างเตรียมขออนุญาตแล้ว อึดอัดใจทนไม่ไหวเลยรีบหอบเอาแบบมาปรึกษา ให้ช่วยปรับก่อนลงมือก่อสร้างจริง เหตุใดบ้านบางหลังดูสวย แล้วบางหลังถึงดูไม่สวย ??? หลายคนอาจจะสงสัยว่าปัจจัยหลักในเรื่องความงามคืออะไร ถ้าจะอธิบายเรื่องความงามและสุนทรียศาสตร์คงจะต้องร่ายกันยาว เอาเรื่องที่สำคัญแรกสุดที่อยากจะแนะนำคือ "สัดส่วน" อาคารที่สีสวยแต่สัดส่วนแปลกๆ มันก็ย่อมที่จะดูไม่ลงตัว แต่อาคารที่สัดส่วนสวย ถึงจะยังไม่ทาสีก็ยังดูดี เหมือนกับผู้หญิงที่หุ่นดีสมส่วน แม้ไม่ต้องพิศใบหน้าก็สวยแล้ว สัดส่วนของอาคารก็ประกอบด้วยหลายสิ่ง ทั้งผนัง ระดับความสูง ขนาดประตูหน้าต่าง ฯลฯ มีทฤษฎีมากมายที่บอก เช่น เรื่องของสัดส่วนทองคำ (Golden Ratio) ที่ตามทฤษฎีว่ากันว่าเป็นสัดส่วนที่สวยงามที่สุด หรือหลักการจัดองค์ประกอบแบบต่างๆ ซึ่งก็จะเอามาเล่าสู่กันฟังในคราวต่อไป แต่ที่อยากจะแนะนำวิธีง่ายๆที่บอกหลายคนบ่อยๆคือ "ใช้การเปรียบเทียบโดยลองเปรียบเทียบกับสิ่งที่ชอบ" แล้วนั่งพิจารณาดูว่าอาคารที่เราชอบนั้นมันมีองค์ประกอบยังไง หลังคาทรงอะไร หน้าต่างกว้างแค่ไหน ประตูสูงเท่าไหร่ ฯลฯ แล้วก็เอามาเปรียบเทียบกับโครงการของเราดู แล้วเราจะเริ่มรู้ว่าหลังคาของเราสูงเกินไป หรือหน้าต่างของเขาทรงแคบเลยดูไม่เทอะทะ แล้วลองปรับดู เชื่อไหมว่าบางทีปรับขนาดหน้าต่างให้เล็กลง 10ซม. หน้าตาของบ้านก็เปลี่ยนแล้ว เหมือนผู้หญิงที่เขียนตาเส้นเล็ก-ใหญ่ ต่างกันก็ให้ความรู้สึกเวลามองที่ต่างอารมณ์ไป เพราะมีผลต่อรูปทรงหน้าโดยรวม บางคนทำจมูกมานิดเดียวดูดีเลยแทบดูไม่ออกว่าศัลยกรรมมา ถ้าทำมาล้นเกินไปก็ดูไม่เป็นธรรมชาติ ครั้งต่อไปหากมองอะไรแล้วรู้สึกว่าไม่สวย ลองพิจารณาแก้ไขเรื่องสัดส่วนก่อนแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น

  • Malt & SALT

    Category : F&B Design by : Collective Studio Constructed by : D-Charearn Location : Bangkok Size : 150 Sqm. Completed : 2017 Photo Credit : Chatnarin Pramnapan Malt&Salt [whisky&soul] ขอนำเสนออีกหนึ่งผลงานออกแบบของพวกเราชาว Collective Studio ที่ “จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก” ฟังแล้วอาจจะสงสัยเล็กน้อย ว่าเราหมายถึงอะไร ที่ว่ายากก็คืองานนี้เราต้องออกแบบปรับปรุงร้าน hamburger factory ร้านแฮมเบอร์เกอร์ชื่อดังสุดแนวที่เปิดให้บริการอยู่ในเวิ้งโบราณ เอกมัยซอย10 ให้กลายเป็นร้านเหล้าสไตล์ Brewhouse Whisky ตามโจทย์ที่ลูกค้าให้มา ซึ่งความยากก็ตรงที่ว่า ตัวร้านของเดิมนั้นก็ตกแต่งสวยงามอยู่แล้ว มีการออกแบบที่ชัดเจนมากๆ ดังนั้น หากจะทำอะไรใหม่ เพิ่มเข้าไปก็ต้องคิดหลายตลบอยู่เหมือนกัน ด้วยรูปแบบร้านที่เป็นอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถใช้งานในรูปแบบร้านเหล้าได้สะดวกนัก ทำให้เราต้องปรับเปลี่ยนการใช้งาน การวาง layout ต่างๆให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนเป็นร้านใหม่มากขึ้น ทั้งการออกแบบเพิ่มเติมในส่วนของบาร์, เวทีแสดงดนตรีสด,โซนที่นั่ง outdoorเดิม ที่ถูกเปลี่ยนเป็นโซน indoor และส่วนต่างๆ อีกมากมายเพิ่มเข้าไป รวมถึงคิดconcept เรื่องราวที่จะใช้ในการออกแบบเพิ่มเติมเข้าไปเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของร้านใหม่ที่เปลี่ยนจากร้านอาหารมาเป็นร้านเหล้าแบบเต็มตัว คราวนี้มาถึงส่วนที่ว่าง่าย ที่ว่าง่ายก็คือตัวแนวทางใหม่ของร้านที่เป็น Brewhouse whisky ซึ่งมาพร้อมกับ live band ที่เล่นดนตรีแนว soul, funk เนี่ยะ! มันช่างถูกจริตทีมงานเราเสียจริงๆ ทั้งเรื่องดนตรี และการดื่ม ทำให้ค่อนข้างจะอินในการทำงานได้ง่าย(ฟังดูเหมือนหาข้ออ้างให้ตัวเอง) มันก็เลยเกิดอารมณ์แบบที่เกริ่นไว้ก่อนหน้านี้ที่ว่า “จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก”

  • LOUIS VUITTON: TIME CAPSULE

    ย้อนอดีตไปกับ Time Capsule ของ LOUIS VUITTON ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมาใครผ่านลานน้ำพุห้างสรรพสินค้าสยามพารากอนคงแปลกใจว่าอยู่ดีๆมีก้อนเหลี่ยมๆเรียบๆเงินอะไรมาตั้งอยู่ตรงนี้ จริงแล้วมันคือนิทรรศการที่ผมเองเมื่อได้ยินข่าวแล้วรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะนั่นคือ "Time Capsule Exhibition" ของ LOUIS VUITTON เป็นอาคารนิทรรศการชั่วคราวที่สร้างขึ้นมาได้ดูเท่มาก เรียบๆเงาๆ ความปราณีตของงานก่อสร้างถือว่าทำได้ดีทีเดียว แหมก็แบรนด์ระดับโลกจะมาสร้างอะไรไก่กาให้เสียชื่อได้ยังไงกัน นิทรรศการเล่าแนวความคิดของหลุยส์ วิตตองจากต้นกำเนิดเมื่อ 160 ปีก่อนสู่ปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นถึงความล้ำสมัยของผลิตภัณฑ์ในทุกยุคสมัยที่ผ่านมา และการตอบสนองความต้องการของผู้คน แบบที่สื่อออกมาไม่ต้องยืดยาวแต่ดูจบแล้วต้องรู้สึกถึงตัวตนของแบรนด์นี้แน่ๆ งานจัดตั้งแต่วันที่ 7-25 กันยายน เข้าชม ฟรี !!! ย้ำอีกทีว่า ฟรี !!!งานดีๆระดับโลกที่ไม่ได้หาดูได้ง่ายๆมาจัดถึงหน้าบ้านเรา แถมจัดเป็นที่แรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซะด้วยจะพลาดได้ไงกัน รีบไปดูก่อนที่จะเมาท์กับเพื่อนบ้านไม่รู้เรื่อง เดินเข้าไปชมห้องแรก เป็นนิทรรศการเรื่องอัตลักษณ์ของหลุยส์ วิตตอง ที่บรรยายความเป็นมาของผ้าใบลายทาง ลายดามิเยร์แบบเรขาคณิต และลายโมโนแกรมสุดคลาสสิค ที่วางหีบรุ่นเก่าและรุ่นใหม่วางคู่กัน แสดงถึงแรงบันดาลใจที่ส่งต่อมาจากอดีตจนสู่ปัจจุบัน ดูแล้วก็เออ....มันก็ดูสวยเท่มาตั้งแต่เมื่อร้อยปีที่แล้ว ที่สำคัญของที่เอามาโชว์เป็นผลงานชิ้นเอกของจริงที่เก็บรักษาไว้อยู่ในหอจดหมายเหตุที่หาดูได้ยาก มีภาพพิมพ์ และภาพถ่ายในอดีต รวมถึงภาพสเกทช์ในการออกแบบหีบกระเป๋าต่างๆที่น่าสนใจ เช่นหีบที่กางออกมาเป็นเตียง เป็นต้น ห้องจัดแสดงออกแบบให้เป็นโถงกว้างๆ วางตู้โชว์ไว้สองข้าง เปิดพื้นที่ให้ชมได้อย่างอิสระนิดนึง เป็นหลักการออกแบบห้องนิทรรศการโดยทั่วไปเพราะห้องแรกมักจะมีการสัญจรค่อนข้างมาก เป็นตัวกักจำนวนคนแล้วค่อยๆทยอยปล่อยผู้ชมเดินต่อไป มีผู้นำชมสาวสวยมายืนคอยให้คำอธิบายอยู่ ห้องต่อมาเล่าเรื่องราวของการเดินทางกับหลุยส์ วิตตอง ที่น่าสนใจมาก แบ่งกลุ่มเป็นเรื่องของการเดินทางด้วยพาหนะต่างๆตามยุคสมัย ตั้งแต่การเดินทางโดยเรือ รถยนต์ ยันเครื่องบินเลย โดยมีพื้นหลังเป็นจอภาพที่เคลื่อนไหวเสมือนเราอยู่ในยานพาหนะที่พาเราเดินทางจากอดีตวิ่งผ่านทุ่งหญ้า ลุยทะเลไปยังอวกาศนอกโลกเลย ทำให้เห็นถึงการเป็นผู้นำในการออกแบบหีบที่ตอบสนองการใช้งานทุกรูปแบบ ที่ไม่ใช่แค่ออกแบบสวยๆเพียงอย่างเดียว มีคอลเลคชั่นใหม่ที่เมื่อวางคู่กับของเก่าแล้วถึงบางอ้อว่ากระเป๋ากลมๆที่เห็นสาวๆถือกันอยู่ในปัจจุบันนี้มันมีที่มายังไง หลังจากที่เล่าเรื่องราวของการตอบสนองการใช้งานในทุกรูปแบบแล้ว ห้องถัดมาเป็นเรื่อง ความโก้หรูสง่างามยามเดินทาง ที่หลุยส์ วิตตองรังสรรค์ขึ้นมาตอบสนองวิถีชีวิตในระหว่างการเดินทาง ในยุคที่ไม่สามารถเล่นเฟสบุค แชทไลน์บนรถได้ ก็ต้องหาความบันเทิงอื่นๆระหว่างเดินทาง เช่น กล่องใส่ซิการ์ กล่องชุดชา กล่องใส่น้ำหอม ฯลฯ เมื่อผลิตภัณฑ์ตอบสนองชีวิตในทุกรูปแบบแล้วก็เลยต้องสร้างสรรค์ที่สิ่งที่มันยิ่งกว่าแบรนด์อื่น ก็เลยเปิดโอกาสให้นักออกแบบ ศิลปินต่างๆมาร่วมสร้างผลงานคอลเลคชั่นพิเศษขึ้นมา ทำให้ความเป็นหลุยส์ วิตตองไม่ได้เป็นแค่ผลิตภัณฑ์ที่ดูคลาสสิคอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังปรับตัวตามยุคสมัยได้เรื่อยๆ แม้กระทั่งป้ายาโยอิ ลายจุดยังมาร่วมงานด้วยเลย ที่น่าภูมิใจคือมีห้องที่นำเสนอเรื่องราวความสัมพันธ์ของไทยกับหลุยส์ วิตตอง ที่ห้องนิทรรศการนี้ในหลายๆประเทศจะไม่มี แต่ของไทยมีมาโชว์หลายอย่าง ตั้งแต่เอกสารการสั่งซื้อหีบของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน เรื่อยมาจนรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ ๙ เมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปยังฝรั่งเศส ทางหลุยส์ วิตตองก็ได้จัดทำหีบสำหรับการเดินทางเป็นคอลเลคชั่นพิเศษถวาย และหีบเก็บเครื่องประดับและนาฬิกาที่พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ทรงงานออกแบบร่วมกับหลุยส์ วิตตองด้วย มาสู่จุดไฮไลท์ของงานนี้ที่ผมประทับใจมากกับห้องที่สรุปเรื่องราวทั้งหมดผ่านหีบกลางห้อง พร้อมจอที่ผนังทั้ง 4 ด้าน แบบไม่ต้องมีคำบรรยายอะไรมากมาย รับเอาแต่ฟิลลิ่งไปพอ ก็จบนิทรรศการแบบสวยงาม เท่ และประทับใจ จบแล้วยังมีตู้แจกโปสการ์ดที่ให้กรอกรายละเอียดข้อมูลผู้ชม แล้วสุ่มแจกออกมา แล้วแต่ว่าใครจะได้ลายอะไรไป และโชว์การทำกระเป๋าจากช่างฝีมือที่อิมพอร์ตมาจากฝรั่งเศสตัวเป็นๆ สลับกันมาทำให้ดูพร้อมเปิดโอกาสให้ซักถามเรื่องต่างๆได้ เดินชมจนจบผมประทับใจกับคุณค่าของหลุยส์ วิตตอง ที่นำเสนอตั้งแต่จุดเริ่มต้นกับแนวทางปัจจุบันออกมาเป็นนิทรรศการที่น่าสนใจ ชอบในการใช้มัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมการจัดแสดงแบบพอดิบพอดีไม่ล้นแบบไทยๆที่ชอบทำกัน (ตัวเองก็เคยทำแบบนั้น...ฮา) ผสมความวินเทจภายในกับเปลือกดีไซน์เรียบแต่ล้ำ เป็น Time Capsule ที่ยังไปอนาคตได้อีกนานโดยไม่เชย ในแง่ของการตลาดแล้วถือว่าคุ้มค่ามากๆ เพราะนิทรรศการสื่อให้ผู้ชมรับรู้ถึงคุณค่าของแบรนด์ทั้งในแง่ของความสวยงาม คงทน ของผลิตภัณฑ์ และแนวความคิดที่พัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง ทำให้รู้สึกว่ากระเป๋าหลุยส์นั้นไม่แพงเลยเมื่อเราดูนิทรรศการจบ (แต่จะมีตังค์ซื้อรึเปล่าอีกเรื่องนึงนะ...) ว่าแล้วก็เดินเข้าร้านหลุยส์ วิตตองข้างๆซื้อกระเป๋าสักใบก่อนกลับบ้านเลยละกัน... แหมค่าโฆษณาก้อนนี้ของหลุยส์ วิตตองมันช่างคุ้มแสนคุ้ม ทำมาเปิดดูฟรีให้อยากซะอย่างนั้น แม้เหลือเวลาเข้าชมอีกไม่มาก แต่ก็ยังหาเวลาไปทันนะ....

  • พระตำหนักดาราภิรมย์ แวะวังน่าชมก่อนเที่ยวแม่ริม

    พระตำหนักดาราภิรมย์แห่งนี้สร้างเพื่อเป็นที่ประทับของเจ้าดารารัศมี โดยก่อสร้างช่วงปี พ.ศ.๒๔๗๐-๒๔๗๒ ว่าแต่เจ้าดารารัศมีคือใคร??? ท่านเป็นธิดาของเจ้าอิทวิชยานนนท์ (เจ้านครเชียงใหม่ขณะนั้น) กับเจ้าทิพเกสร และท่านก็เป็น พระราชชายาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ไม่ต้องแปลกใจว่าการที่รัชกาลที่ ๕ ท่านเลือกเจ้าดารารัศมีมาเป็นพระราชชายามีนัยยะทางการเมืองหรือไม่ แต่จากเรื่องราวก็บ่งบอกว่าท่านทรงโปรดเจ้าดารารัศมีมากจนคาดไม่ถึง เรื่องราวเป็นอย่างไรบ้างไปหาอ่านกันเอาดู คิดว่าในสมัยนั้นท่านคงต้องผ่านศึกอิฉจาริษยานางในวังไม่ต่างจากในละครทีวีแน่ๆ ยิ่งในสมัยรัชกาลที่ ๕ ท่านมีชายาตั้งมากมาย ตลอดเวลาที่อยู่อยู่กรุงเทพฯ ท่านดำรงความเป็นชาวล้านนาอยู่ตลอด นุ่งซิ่น จัดให้มีการฟ้อนรำในวัง ฯลฯ ดูแล้วชื่นชมกับการที่ท่านรักในวัฒนธรรมของตัวเอง ไม่เห่อไปตามความนิยมตะวันตกที่ฟูฟ่าในสมัยนั้น ต่างกับปัจจุบันที่เกาหลีเป็นยังไงไทยสาวไทยขอเป็นบ้าง หลังจากที่รัชกาลที่ ๕ สวรรคต เจ้าดารารัศมีจึงทรงย้ายกลับมาประทับที่เชียงใหม่และสร้างพระตำหนักดาราภิรมย์แห่งนี้ บนเส้นทางก่อนถึงแม่ริมโดยควบคุมงานด้วยตัวเอง (วิทยากรบอกมา) และทำพื้นที่รอบๆวังเป็นสวนเกษตร ตัวพระตำหนักมีลักษณะเป็นเรือนผสมผสานแบบตะวันตกตามสมัยนิยมในช่วงนั้น อาจเป็นเพราะท่านได้ไปประทับอยู่ในหลายวังในกรุงเทพฯ เช่นพระที่นั่งวิมานเมฆ เป็นต้น อาคารขนาดพอเหมาะ ไม่ใหญ่จนเกินไปนัก มีวิทยากรนำชมบอกเล่าเรื่องราวต่างๆไปทีละห้องๆ เป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆแต่ก็มีการจัดการและต้อนรับนักท่องเที่ยวดีเกินคาด อาจเป็นเพราะปัจจุบัน พระตำหนักแห่งนี้ดูแลโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ท่านประทับที่ตำหนักนี้จนสิ้นพระชนม์ เมื่อมีอายุ ๖๐ปี แม้ตอนที่ท่านประชวร รัชกาลที่ ๗ ก็ทรงเป็นห่วงทรงส่งแพทย์มาช่วยรักษาและให้รายงานพระอาการให้ทราบเป็นระยะๆ แสดงถึงสานสัมพันธ์อันดีระหว่างเจ้าแห่งสยามพระองค์อื่นๆตลอดมา

  • KAWAGUCHIKO - ทะเลสาบ ใบไม้เปลี่ยนสี และฟูจิซังขี้อาย

    "ฟูจิซัง" หรือภูเขาไฟฟูจิที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นที่หลายคนบอกว่าช่างขี้อายเหลือเกิน ไม่ค่อยยอมให้เราได้เห็นเต็มตานัก ใครที่ไปแล้วได้เห็นวิวฟูจิซังชัดๆถือว่าโชคดีมาก ช่วงเวลาใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่นต่างมีจุดชมวิวมากมายที่สวยงาม หนึ่งในนั้นคือที่เมืองคาวากูจิโก (Kawaguchiko)นี่เอง เริ่มต้นการเดินทางตอนเช้าตรู่ ไปขึ้นรถที่ Shijuku Expressway Bus Terminal ตัวสถานีจะอยู่ชั้นบนของอาคาร ไม่น่าเชื่อว่าเค้าจะออกแบบสถานีรถบัสให้ต้องขับขึ้นไปบนอาคาร ก็เป็นแนวคิดที่น่าสนใจ แต่ก็ต้องใช้กับประเทศที่มีระเบียบหน่อยอะนะ วิวระหว่างทางบนรถ เปิดเผยให้เห็นฟูจิซังเป็นบางช่วง เอ๊า! ก็ไม่ขี้อายนี่นา นั่งชมวิวไปเรื่อยๆสักพักก็ถึงสถานีควากูจิโกะของเรา เป็นทั้งสถานีรถบัสและรถไฟที่เดียวกันเลย ภายในเป็นจุดซื้อตั๋วทั้งรถไฟและรถบัส เราเลยแวะเข้าไปเช็คตั๋วรถขากลับกับซื้อตั๋วรถในเมืองไว้ และในสถานีมีตรายางให้ประทับเป็นที่ระลึกด้วย ด้านหน้ามีรถไฟเก่าจอดโชว์ไว้ให้ถ่ายรูปได้ ด้านหน้าสถานีมีบอกอุณหภูมิ อากาศกำลังเย็นสบาย เริ่มออกเดินตากแดดไปยังที่พักแบบสบายใจ ระหว่างทางก็มีมุมน่ารักๆของเมือง เสาไฟจราจรแอบมีสัญลักษณ์ฟูจิซังติดอยู่ด้วยให้รู้ว่านี่เมืองแห่งฟูจินะ มีรถดับเพลิงผ่านมาก็มีสัญลักษณ์เช่นเดียวกัน สีแดงสดใส เดินผ่านบ้านเรือนมาจนเจอทะเลสาบคาวากูจิโกะ ก็ถึงที่พักของเราคืนนี้ Yamagishi Ryokan Hotel Fujikawaguchiko ตั้งอยู่ริมทะเลสาบเลย เป็นโรงแรมสไตล์เรียวกังที่ทำเลดี แต่อาจจะเก่าไปนิดนึงนะ มาถึงเร็วก็ฝากกระเป๋าไว้ก่อน แล้วก็ออกไปเดินเที่ยวเลย โรงแรมเราใกล้ร้านค้าต่างๆค่อนข้างสะดวกดี และเป็นจุดขึ้นเรือชมทะเลสาบด้วย แวะซื้อกาแฟร้อนกระป๋องใน Lawson จิบแก้หนาวสักนิดนึงก่อน ตอนแรกก็ไม่คิดว่าเครื่องดื่มร้อนในตู้จะโอเคเท่าไหร่ แต่พอลองชิม มันใช้ได้เลยทีเดียวทั้งรสชาติและอุณหภูมิ ที่ดังๆเลยก็มีร้าน Cheese Cake และ Fujiyama Cookie ที่มีคุ๊กกี้รูปฟูจิซังหลากหลายรสชาติให้ชิมกัน ชิมจนอิ่มจังตังค์อยู่ครบก็เดินออกมารอรถเมล์ด้านหน้าเพื่อไปเที่ยวชมตามจุดต่างๆ นั่งรถมาจนสุดทางเพื่อดูบรรยากาศโดยรวมก่อนแล้วค่อยย้อนกลับไปตามจุดต่างๆ รถเมล์มาหยุดปลายทางที่ Kawaguchiko Natural Living Center ที่นี่ก็เป็นสวนดอกไม้ (ที่ช่วงนั้นไม่มีดอก) เป็นจุดชมวิว (ที่ไม่เห็นวิวตอนนั้น ฮา....) และมีขนมและของที่ระลึกขาย เราก็เดินเล่นซื้อซอฟท์ครีมกินแก้หนาวสักหน่อย ลมที่นั่นค่อนข้างแรงและอากาศเย็นใช้ได้เลย มีคราฟท์เบียร์ที่ได้รับรางวัล World Beer Award (สำนักไหนก็ไม่รู้) ขายด้วย เลยสอยกับมาชิมขวดนึงเสร็จแล้วก็ต่อคิวขึ้นรถเมล์กลับ แวะชมจุดท่องเที่ยวหลักๆที่แรก Maple Corridor เป็นจุดที่เป็นลำธารไหลและมีต้นเมเปิ้ลตลอดสองข้างทาง ค่อยๆเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆสวยงามมาก ธรรมชาติเป็นเหมือนศิลปินที่ยิ่งใหญ่ ละเลงความงามบนโลกใบนี้ให้เราได้สัมผัส เดินลัดเลาะริมน้ำมา ต้นไม้บางส่วนก็ใบร่วงหมดแล้วโดยเฉพาะต้นซากุระร่วงหมดก่อนเพื่อนเลย ซากุระเองอาจจะไม่ได้โชว์ความสวยงามของตัวเองวันนี้ เหมือนแต่ละคนก็มีช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์และอับเฉาต่างวาระกันไป ธรรมชาติกำลังสอนเราว่าแต่ละชีวิตต่างก็ต้องรอเวลาของตัวเอง ผมชื่นชมแนวความคิดในการปลูกต้นไม้ตกแต่งเมืองของเค้านะ ฝั่งซ้ายเป็นต้นซากุระ ฝั่งขวาเป็นต้นเมเปิ้ล ไม่ว่าฤดูไหนคนก็มาเที่ยวชมความสวยงามได้ทั้ง 2 แบบ แวะพักหาของกินที่ตลาดนัดรองท้องกันนิดนึง มีปลาภูเขาตัวเมีย (ฮา...) หอยย่าง ปลาหมึกย่าง โอเด้ง... อากาศเย็นๆอย่างนี้ก็อยากกินไปหมด เดินมาเรื่อยๆแถวนี้จะมีสถานที่ให้เข้าชมหลายที่ เราแวะเข้าไปที่พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี Kawaguchiko Music Forest Museum ที่มีกล่องดนตรีหลากหลายรูปแบบและขนาดให้ชม และมีโชว์คอนเสิร์ตเล็กๆให้ชมกัน ดูรีวิวชมกันมากมายเลยทีเดียว แต่ส่วนตัวผมว่าค่าเข้าชมคนละ 1500 เยน ก็แอบแพงไปนิดนึง ทำให้เราคาดหวังมันสูงกว่านี้ และอาจจะเพราะด้วยบรรยากาศที่ดูอึมครึมหงอยๆหน่อยด้วย เดินชมวิวเรื่อยเปื่อย ตลอดทั้งวันตังแต่มาถึงคาวากูจิโกะลงรถมาเราก็ยังไม่เห็นฟูจิซังขี้อายเลย แต่บรรยากาศตามทางก็สวยงามมาก เราเลยตัดสินใจรอดู Light up ตอนโพล้เพล้ก่อนกลับโรงแรม ช่วงนี้ญี่ปุ่นก็จะมืดเร็วหน่อย ประมาณสี่โมงครึ่งก็เริ่มเปิดไฟกันแล้ว ซึ่งก็ใช้เวลาเดินดูไม่นานนักเพราะว่าต้องกลับไปทานอาหารค่ำที่โรงแรมก่อนทุ่มนึงให้ทัน มาถึงโรงแรมเข้าห้องพักเป็นแบบสไตล์เรียวกังนอนกับพื้น ซึ่งเค้าจะเก็บที่นอนไว้ในตู้ก่อน แล้วค่อยมาจัดปูที่นอนให้ภายหลัง ห้องก็เรียบๆดูย้อนยุคนิดๆ แต่ที่นี่มีออนเซ็นให้แช่ด้วยนะ แต่ยังไม่แช่หรอก รีบล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าใส่ยูกาตะแล้วลงไปทานอาหารค่ำก่อนดีกว่า กลับขึ้นมาจิบเบียร์ที่ซื้อมา แล้วก็ขึ้นไปแช่น้ำร้อนออนเซ็นแล้วก็หลับสบายด้วยความหวังว่าพรุ่งนี้อากาศจะแจ่มใส เช้าตื่นขึ้นมามองออกไปข้างนอกเต็มไปด้วยหมอก !! โอว์พระสงฆ์ !! นี่มาเที่ยวนี้จะไม่ได้ดูวิวฟูจิซังใช่ไหมเนี่ย เศร้าจัง.... ว่าแล้วก็เก็บกระเป๋าแล้วลงไปทานอาหารเช้าดีกว่า อาหารกินจานละคำสองคำ แอบสงสารพนักงานล้างจานอยู่นะ เมื่ออิ่มแล้วก็เดินออกไปด้านนอก เฮ้ย...อากาศเริ่มโปร่งแล้ว !!! ดูมีแววสดใสทีเดียว รีบไปชมวิวบน Mt.Tenjo ซึ่งสถานีขึ้นกระเช้า Mt.Fuji Panoramic Ropeway อยู่ใกล้ๆโรงแรมสามารถเดินไปได้เลย ในที่สุด ฟูจิซังขี้อายก็เปิดเผยให้เราได้ชมอย่างเต็มตาสักที บางความรู้สึกภาพถ่ายที่ดีแค่ไหนก็ไม่สามารถถ่ายทอดอารมณ์นั้นออกมาได้ สักพักก็ลงกระเช้าไปเดินเล่นหามุมบรรยากาศดีๆนั่งชมวิวจิบกาแฟสักแก้ว พอใกล้ๆเที่ยงก็กลับโรงแรมเช็คเอาท์ เดินทางกลับเข้าสู่โตเกียว ซึ่งขากลับนี้เราเดินทางโดยรถไฟแทน จะได้บรรยากาศต่างจากตอนมา อำลาฟูจิซังคราวนี้ สักวันเราคงพบกันใหม่

  • Naritasan in Autumn - นาริตะความงามที่ถูกมองผ่าน

    เวลาไปเที่ยวเมืองโตเกียวประเทศญี่ปุ่น ในปัจจุบันก็มักจะไปสนามบินที่นาริตะซะเป็นส่วนมาก โดยทั่วไปเมื่อลงเครื่องก็จะรีบต่อรถบัสหรือรถไฟเข้าเมืองเพื่อไปเที่ยวที่โตเกียวกัน แล้วก็กลับมาขึ้นเครื่องบินเพื่อกลับบ้านที่นี่และอยากใช้เวลาที่โตเกียวกันให้มากที่สุด นาริตะจึงเป็นเมืองทางผ่านที่หลายๆคนเมิน แต่จริงๆแล้วเมืองเล็กๆทางผ่านแห่งนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าประทับใจอยู่นะลองไปดูกัน วัดนาริตะซัง ชินโชจิ (成田山新勝寺) วัดนาริตะซังเป็นวัดสำคัญของเมืองนาริตะ ในจังหวัดชิบะ อยู่ใกล้สนามบินแค่ชั่วอึดใจ เป็นวัดเก่าแก่มีอายุกว่าพันปี มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามและเก่าแก่หลากหลายยุคสมัย เมื่อลงรถที่สถานีรถไฟหรือรถเมล์ก็จะเจอกับทางเข้าถนนที่เต็มไปด้วยร้านค้าต่างๆสองข้างทาง เช่น ร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร ขนม ซึ่งก็มีหลากหลายรูปแบบทั้งที่ดูเก่าแก่ และทันสมัย เดินไปก็ต้องระวังตัวกันนิดนึง กว่าจะถึงวัดอาจจะช็อปปิ้งเพลินกระเป๋าแบนก่อนถึงวัดนะ ที่เมืองนาริตะขึ้นชื่อเรื่องปลาไหลจะเห็นป้ายกราฟฟิกปลาไหลได้จากหลายๆที่ในเมือง และก่อนถึงวัดก็มีร้านข้าวหน้าปลาไหลอยู่หลายร้าน โชว์กรรมวิธีการทำกันสดๆหน้าร้านเลย จับเป็นๆจากในถังมาเชือดปุ๊บ เอามีดปักหัวกับเขียง ปาดแล่ ควัก เสียบไม้ย่าง ควันฉุย ตอนแรกตั้งใจไปกินครับ พอเห็นตอนมันโดนเชือดแล้วเกิดอาการสยองเปลี่ยนใจไปวัดเลยดีกว่า กลับมาถึงกับงดกินปลาไหลไปนานเลย แมนมากๆ ฮา... (ไม่ได้ถ่ายภาพมาเพราะเป็นมนุษย์ใจอ่อน) เมื่อถึงวัดก็พบกับซุ้มประตูใหญ่ด้านหน้าที่สวยงามแบบคิดไม่ถึง ตอนแรกคิดว่าเป็นวัดบ้านๆต่างจังหวัด ที่ไหนได้สวยกว่าวัดที่โตเกียวแบบเทียบกันไม่ติด ผ่านทางเข้ามาก็จะมีบ่อน้ำให้ล้างมือมีหัวมังกรพ่นน้ำดูเท่เชียว ถัดมาเป็นซุ้มโคมแดงที่ผมว่ามันดูขลังดี โคมแดงที่นี่มีรายละเอียดที่สวยงาม ตัวฐานเป็นไม้แกะสลักด้วยโครงสร้างหลักๆของตัวซุ้มเป็นไม้โชว์ผิวเลยให้อารมณ์เก่าๆกว่าแบบทำสี เข้ามาด้านในอีก ก็พบกับตัวอาคารต่างๆที่สวยงาม มีซุ้มอบควันธูปที่คนนิยมแวะกวักควันธูปเข้าหาตัวเพื่อเป็นสิริมงคล เหมือนรดน้ำมนต์นั่นเอง ออกมากลิ่นอบอวลเลยทีเดียว มีมุมให้เขียนป้ายขอพร มีคนไทยมาขอพรไว้เยอะเลย อ่านของชาวบ้านดูก็สนุกดีนะ อาจเป็นเพราะอยู่ต่างเมืองเลยเขียนกันจัดหนักมาก ขอกันเต็มๆไม่มียั้ง ฮา... จากนั้นระเริ่มเข้าสู่บริเวณสวนที่เหมือนหลุดเข้าไปในป่าอันร่มรื่น ไม่น่าเชื่อว่าเดินนิดเดียวอยู่ดีๆบรรยากาศก็เปลี่ยนไปไม่รู้ตัวเลย บรรยากาศใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่สวยมาก สวยไม่แพ้ที่อื่นๆที่ไปมาเลย เมื่อมาสัมผัสผมว่าเสน่ห์ของใบไม้เปลี่ยนสี่ที่ญี่ปุ่นนี่คือมันมีความหลากหลาย มันมีทั้งแดง เหลือง เขียวในมุมเดียวกัน เมื่อพ้นทางเดินในป่าออกมาก็จะเป็นบึงน้ำโล่งๆใหญ่ มีศาลากลางน้ำที่มีนักดนตรีเล่นเพลงบรรเลงช้าๆ ให้อารมณ์ที่พักผ่อน ไม่รู้สึกว่าวุ่นวายแม้ว่าคนจะเยอะก็ตาม คนญี่ปุ่นต่างมานั่งฟังเพลงกันที่ริมน้ำ เดินวนรอบบึงก็จะพบกับอาคารนิทรรศการ ภายในมีจัดแสดงเรื่องเกี่ยวกับตัวอักษรญี่ปุ่น เมื่อชมเสร็จก็เดินชมใบไม้แดงในมุมต่างไปเรื่อยๆ ในแต่ละมุมก็บรรยากาศต่างกันไปเดินแล้วไม่เบื่อเลย แล้วก็ค่อยๆเดินวนกลับออกมาด้านนอก ชมส่วนต่างๆของวัดต่อ เมื่อเดินออกจากวัดก็จะมีร้านขายของที่ระลึกประปราย เราก็โดนสุนัขจิ้งจอกไปคู่นึงเป็นที่ระลึก แล้วเดินชมบรรยากาศเงียบสงบของบ้านเรือนรอบๆวัดต่อไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็กลับมายังถนนที่เราเดินเข้ามาตอนแรกและกลับไปยังสถานีรถเมล์เพื่อเดินทางไปที่อื่นต่อ หากใครที่กำลังจะผ่านนาริตะ ลองแบ่งเวลาแวะมาเดินเล่นดูสักสองชั่วโมง จะพบว่าที่นี่มีดีกว่าเป็นแค่ทางผ่านเยอะเลยนะ #japan #tokyo #narita #chiba #naritasan

bottom of page