ไซ่ง่อน ความรุ่งเรืองของอดีตเมืองหลวงอินโดจีน
top of page

ไซ่ง่อน ความรุ่งเรืองของอดีตเมืองหลวงอินโดจีน



"ไซ่ง่อน" เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นปารีสตะวันออกที่เรารับรู้กันมันมีอะไรบ้างนะ


ในอดีต ที่นี่เป็นเมืองที่มีความสำคัญมานานหลายยุคสมัย แต่จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือเมื่อฝรั่งเศสได้เข้ามายึดครองเมืองในแถบนี้ ทำให้ไซ่ง่อนเป็นเมืองที่มีทั้งความงามอย่างสาวชาวบ้านที่เคยได้กลายไปอยู่ในสังคมชั้นสูงของตะวันตก และถูกฝรั่งเข้ามายุ่งให้ต้องทะเลาะเบาะแว้งจนต้องแตกแยกกับครอบครัว กว่าจะมาลงเอยกันด้วยดีในหลายสิบปีต่อมา


อินโทรซะเวอร์วัง...


เอาล่ะ! มาถึงแล้ว สนามบินของปารีสตะวันออก



มาถึงไซ่ง่อนตอนค่ำสิ่งแรกที่พึงกระทำคือเก็บกระเป๋าแล้วออกไปหาของกินกันก่อน




ที่นี่มีอาหารให้กินหลากหลายอย่าง เดินวนรอบนึงก็เลือกอาหารเวียดนามมาชิมลางดูกันก่อน



เสร็จแล้วก็ไปนั่งร้านแถวที่พักดูบรรยากาศเมืองแกล้มเบียร์ไปพลางๆ



 

Saigon Notre Dame

โบสถ์ไซ่ง่อนนอเตอรดามตั้งอยู่ใจกลางเมือง เค้าว่าเป็นโบสถ์คริสต์ที่สวยที่สุดในเวียดนาม และน่าจะสวยที่สุดในบรรดาประเทศที่อยู่ในอินโดจีนด้วยกัน หอคอยคู่แห่งนี้เป็นภาพที่ติดตาและเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของไซ่ง่อน



อาคารสร้างขึ้นโดยชาวฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ.1877 โดยชาวฝรั่งเศสที่มาอาศัยอยู่ที่นี่ ลักษณะรูปแบบก็พยามจะจำลองโบสถ์นอเตรอดามที่กรุงปารีสมา ซึ่งก็ไม่เหมือนหรอกได้ประมาณนึง แต่ก็เป็นโบสถ์ที่มีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง วัสดุก่อสร้างที่ใช้ก็นำเข้าจากฝรั่งเศสเชียวนะ ไม่ว่าจะเป็นอิฐสีแดงที่นำเข้ามาจากเมืองมาร์เซลล์ ที่มีคุณสมบัติทนทานและตะใคร่ไม่จับ รวมถึงเหล็ก และปูนซีเมนต์ด้วย

ด้านหน้ามีรูปปั้นพระแม่มารีตั้งอยู่ ซึ่งเดิมตั้งอยู่ที่กรุงโรมและได้ย้ายมาตั้งที่นี่เมื่อปี ค.ศ.1959 ทำให้องค์ประกอบเมื่อมองไปดู Emotional ขึ้นเยอะเลย




น่าเสียดายเป็นอย่างมากที่ตอนนี้อยู่ในช่วงบูรณะ ทำให้ไม่สามารถดูบรรยากาศด้านข้างได้ โธ่!! เศร้า หากใครอยากเข้าไปชมและร่วมสวดมนต์ก็เชิญได้ตามป้ายบอกเวลาที่ลงไว้นะครับ...

 

Saigon Central Post Office

สถานที่ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสถาปัตยกรรมตะวันตกสไตล์ Renaissance ที่สวยที่สุดในเวียดนาม ก่อสร้างช่วงปี 1886-1891



ก่อนหน้านี้มักจะให้เครดิต Gustave Eiffel ผู้ออกแบบหอไอเฟลสัญลักษณ์ของเมืองปารีสเป็นผู้ออกแบบอาคารหลังนี้ แต่ภายหลังได้สรุปแล้วว่าผู้ออกแบบคือ Alfred Foulhoux อย่างว่าแหละ ใช้ชื่อคนออกแบบที่มีชื่อเสียงกว่าย่อมจะดูดีกว่า แต่ประวัติศาสตร์ก็คือเรื่องที่ต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์กันไป


ตัวอาคารดูให้อารมณ์เหมือนสถานีรถไฟมาก อาคารไปรษณีย์กลางของหลายเมือง (รวมถึงประเทศไทย) จะเห็นได้ว่าค่อนข้างใหญ่มาก สะท้อนให้เห็นถึงการใช้ไปรษณีย์ที่มากมายในอดีตสมัยยังไม่มี facebook line instagram



เข้าไปด้านในจะเห็นทั้งชาวเวียดนามที่มาส่งไปรษณีย์และนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด ทำให้รู้สึกว่าอาคารหลังนี้ยังปฏิบัติหน้าของมันเองอย่างปกติแม้เวลาจะผ่านมานานร้อยกว่าปีแล้ว บนผนังทั้งสองด้านจะพบกับภาพวาดแผนที่ที่เขียนมาตั้งแต่อาคารเพิ่งสร้างเสร็จไม่นาน แผนที่ด้านซ้ายเป็นแผนที่อาณาเขตไปถึงกัมพูชา ชื่อภาพ “Lignes teleraphiques du Sud Vietnam et du Cambodge 1936”ส่วนทางด้านขวาเป็นแผนที่ภายในเมืองเขียนไว้ว่า “Saigon et ses environs 1892” ดูแผนที่ถนนแบบตารางในเมืองแล้วคงได้รับการวางผังจากฝรั่งเศสมาตั้งแต่สมัยนั้น ยืนดูลายเส้นโบราณๆคลาสสิคแบบนี้เพลินตามากครับ



แต่หลายสิ่งก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามโลกตามยุคสมัย ตู้โทรศัพท์ไม้คลาสสิคเดิมก็ต้องกลายเป็นตู้กดเงินสด พื้นที่บางส่วนก็ต้องกลายเป็นพื้นที่ขายของที่ระลึกไป


มุมที่เราจะเห็นบ่อยๆคือภาพโมเสกรูปลุงโฮติดอยู่กลางโถงโค้งด้านในสุดของโถง แสดงถึงความรู้สึกเคารพต่อท่านของคนเวียดนาม เป็นภาพที่ดูมีชีวิตอย่างน่าประหลาด



บรรยากาศของที่นี่มันทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะต้องเขียนไปรษณีย์บัตรส่งหาใครสักคน เพื่อที่จะให้สถานที่แห่งนี้ทำหน้าที่เป็นตัวส่งสารของผู้คนต่อไป แม้ว่ามีช่องทางอื่นที่เร็วกว่า แต่เชื่อว่าการที่ได้อ่านลายมือใครสักคนจากแดนไกลแม้ว่าเป็นคำเรียบง่ายธรรมดา มันน่าเป็นความรู้สึกที่พิเศษกว่าอ่านคำรักพรรณนาทางไลน์แน่นอน ช่องหมายเลข 2 รอคุณอยู่ ลองดูครับ



ค่าส่งไปรษณียบัตร 10,500 ด่อง ประมาณ 15 บาทไทย ส่งเป็นที่ระลึกถึงใครสักคน เชื่อผมเถอะว่ามันคุ้มค่าแน่นอน

 
Art Deco Apartment

นอกจาก Cafe Apartment ที่ดังอยู่กลางลานแล้วยังมีอีกอาคารหนึ่งที่น่าสนใจอยู่ตรงหัวมุม ถนน Ly Tu Trong ตัดกับ ถนน Dong Khoi คือชื่ออาคารอะไรไม่มี ไม่สามารถบอกนามได้ เลยเรียกมันว่า Art Deco Apartment ละกัน ตามรูปแบบการตกแต่งภายใน


ทางเข้าอาคารดูมืดๆ มีป้ายร้านรวงอยู่ ด้านล่างจะเป็นที่ขายงานศิลปะ มีคนนั่งเพนท์รูปอยู่

แต่ละชั้นก็มีร้านค้าอยู่หลากหลาย ดูเป็นร้านวัยรุ่นๆหน่อย และมีร้านกาฟเก๋ๆอยู่หลายร้านเลย



การปรับปรุงอาคารนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ทำอะไรมากนัก พื้นที่ส่วนกลางสีถลอกกระเบื้องร่อนยังไงก็ปล่อยอย่างนั้น อาศัยการตกแต่งของแต่ละร้านช่วยสร้างบรรยากาศไป


ชอบที่สุดของที่นี่คือ บันไดและลิฟท์ที่มีการตกแต่งแบบอาร์ตเดโคที่ดูออริจินัลมากๆ



เดินขึ้นไปชั้นบนๆเหมือนจะมีคนอาศัยอยู่ เห็นอาม่ายืนคุยอยู่กับใครไม่รู้ตั้งนาน ตอนแรกก็รู้สึกว่าอาม่าแกโพสท์ท่านานดีแฮะ แต่ดูไปดูมาเหมือนมีใครสักคนยืนอยู่ด้วยแต่เรามองไม่เห็น !!!



แล้วก็รีบลงมากันดีกว่า ข่าวว่าอาคารหลังนี้มีโครงการที่จะถูกรื้อถอนในอีกไม่นานนี้

ลองเข้าไปสัมผัสบรรยากาศคาเฟ่แบบดิบๆกันดูนะครับ



หิวละ ไปหาอะไรกินดีกว่า ระหว่างที่เดินไปก็ชมบรรยากาศร้านค้า คาเฟ่ที่แนะนำกันในอินเตอร์เนตหลายร้าน



สุดท้ายมาจบมื้อกลางวันที่นี่ The Old Compass Cafe



เป็นคาเฟ่ที่ทางเข้าดูลึกลับนิดนึง ต้องเดินเข้าซอยมาจะพบกับป้ายไฟ มีประตูเล็กๆเปิดต้อนรับอยู่



เข้ามาที่นี่บรรยากาศเงียบสงบมาก ให้ความรู้สึกผ่อนคลายจากความวุ่นวายภายนอก

ด้วยความเป็นอาคารเก่าเลยทำให้ตกแต่งเพียงเล็กน้อยก็สวยงามแล้ว



ที่นี่เป็นคาเฟ่ที่มีทั้งอาหารและเครื่องดื่มไว้บริการ ได้ทั้งจิบเครื่องดื่มเบาๆหรือเอาให้อยู่ท้อง



จากนั้นก็ไปศึกษาวัฒนธรรมกันต่อที่


Museum of Vietnamese History



พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติเวียดนาม ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับสวนสัตว์และสวนพฤกษศาสตร์ ด้านหน้ามีวัดเล็กๆ ชื่อHung King's Temple เป็นวัดที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ระลึกถึงทหารเวียดนามที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่สวยและเงียบสงบอย่างน่าประหลาดใจ


ตัวสถาปัตยกรรมของพิพิธภัณฑ์สร้างโดยฝรั่งเศสเมื่อปี 1926 เป็นตึกทรงยุโรปที่ดูจีนๆหน่อย ดูสวยงามดี มีลักษณะเป็นอาคารแบบมีคอร์ทตรงกลาง



เมื่อเสียเงินกันไปคนละ 3หมื่นแล้วก็ได้เข้าไปชมด้านใน แบ่งเป็นห้องๆ โดยห้องแรกก็เป็นเรื่องราวยุคก่อนประวัติศาสตร์ของพื้นที่แถบนี้ ทั้งเรื่องจริง ทั้งอิงนิยายคละเคล้ากันไป



ห้องต่อมาคือไฮไลท์ของที่นี่ คือห้องที่จัดแสดงศิลปวัตถุยุคจามปา ที่ดูได้รับการปรับปรุงใหม่ (อยู่ห้องเดียว) งานที่จัดแสดงที่นี่สวยงามมากเลยทีเดียว หลายๆชิ้นมีความสมบูรณ์แบบไม่น่าเชื่อ ถ้าอยู่ในพิพิธภัณฑ์สวยๆคงจะดูดีขึ้นอีกหลายเท่าตัว



ห้องจัดแสดงศิลปะเขมร มีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ยอมรับว่าทับหลังที่โชว์อยู่นั้นมันสวยสุดยอดจริงๆ



หลังจากห้องนี้ไปก็เป็นห้องจัดแสดงเครื่องแต่งกายพื้นเมืองของชนกลุ่มน้อยเผ่าต่างๆ และข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน สลับกับเล่าเรื่องราวต่างๆขึ้นตามยุคสมัย ก็ดูเอาเพลินๆไม่ได้พีคอะไรมาก และมีห้องนิทรรศการแยกเป็นเรื่อง Buddhist Statues of Asian Countries



โดยรวมการจัดแสดงก็อาจจะไม่ได้มีอะไรมากนัก (ด้วยการจัดแบบพิพิธภัณฑ์สมัยเก่า) แต่ถ้าคุณเป็นคนชอบศิลปวัฒนธรรม ด้วยเงิน 45 บาท กับเวลาสัก 45 นาที ได้ชมสถาปัตยกรรม และงานศิลปะโบราณสวยๆก็แสนจะคุ้มนะ


 

จัตุรัสโฮจิมินห์ (Tran Nguyen Hai Statue)



จัตุรัสโฮจิมินห์เป็นลานโล่งอยู่บริเวณใจกลางเมืองโฮจิมินห์ ซึ่งจุดนี้จะมีรูปปั้นของอดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์กับเด็กๆ โดยมีแบคกราวน์เป็นศาลาว่าการเมือง แต่!!! ไฉนไปถึงจึงกลายเป็นแบบนี้...


ไปที่ไหนซ่อมที่นั่น ตูละหน่าย ช่างมันละกัน ลานนี้เป็นจุดที่คนมาเดินเล่นชมเมืองกันเยอะตอนค่ำๆ สองฝั่งถนนก็เป็นตึกสูงประดับไฟกันสวยงาม เป็นย่านการค้าที่สำคัญ



เดินมาเรื่อยๆก็จะเจอ Cafe Apartment ที่ฮิตกันในช่วงหลัง ใครมาก็ต้องมาถ่ายรูปกันที่นี่



มาถึงแล้วก็ขอเดินเข้าไปชมหน่อย ข้างในก็เป็นทางเดินเหมือนอพาร์ทเมนต์เก่าๆทั่วไป มีลิฟท์ให้ขึ้นแต่เก็บเงินคนละ 3,000 ด่อง ก็ไม่ได้มากมายแต่เดินดูบรรยากาศมันส์กว่า



มีร้านสวยๆงามๆหลายร้าน แต่ว่าเวลานี้มันไม่เหมาะกับการกินกาแฟแล้ว เลยไม่ได้นั่งร้านไหน

ได้แต่เดินหามุมถ่ายรูปให้คนที่เมืองไทยหมั่นไส้เล่นๆไป



แล้วก็มาฝากท้องมื้อเย็นไว้ที่ร้านนี้ Am Phu Quan Com เป็นร้านที่ตกแต่งสวยงาม ดึงดูดให้เข้าไปลองชิมเฝอสักชามดู



มีเฝอให้เลือกหลายแบบจากหลายภูมิภาค รสชาติดี ราคาไม่แพงครับ



อิ่มแล้วก็ขอตลุยราตรีหน่อย ยามค่ำคืนมอเตอร์ไซค์ก็เหมือนจะยิ่งเยอะ ระหว่างทางเดินก็จะพบกับมอเตอร์ไซค์จำนวนมาก



แล้วก็มาถึงย่านฟามงูหลาว แหล่งบันเทิงใจกลางเมืองที่ขอบอกว่าสุดจริงๆ มีร้านเต็มทั้ง 2 ฝั่งซอย ยาวไปสุดถนน เสียงเพลงสนั่นลั่นซอยจนไม่รู้เป็นเพลงของร้านไหน



ที่น่าสนใจคือหลายๆร้านเป็นกิจการอื่นๆ เช่นร้านขายยา ร้านตัดเสื้อ ขายของที่ระลึก

แต่ไม่ว่าจะขายอะไร หน้าร้านก็เปิดขายเบียร์ให้คนมานั่งดื่มกันหมดทุกร้าน

ร้านตัดเสื้อก็เอากลองมาตั้ง เหมือนให้ลูกๆมาเล่นดนตรีให้ลูกค้าฟัง

แต่ว่าอาเฮียด้านในก็ยังยืนรีดเสื้อเหมือนเป็นปกติมากๆ เป็นบรรยากาศที่แปลกดี

 

เช้ามาก็ลองเดินไปหาบั่นหมี่ชิมหน่อย ใกล้ๆที่พักมีอยู่หลายร้านที่คนแนะนำ แต่ที่เปิดตอนเช้ามีอยู่ร้านนึง ชื่อ Banh Mi Hong Hoa สนนราคาชิ้นนึงก็ประมาณ 25,000 ด่อง หรือประมาณ สามสิบกว่าบาท รสชาติอร่อยดีครับ ขนมปังกรอบนอกนุ่มในมากๆ



วันนี้จะเป็นวันทัวร์วัดในไซ่ง่อนกัน เริ่มจากที่แรกเลย




เป็นวัดที่อยู่ในย่านคนจีน ถัดออกมาจากใจกลางเมืองเล็กน้อย เป็นวัดที่มีคนมากราบไหว้บูชาเจ้าแม่กวนอิมกันเยอะเลย




Thien Hua Pagoda



วัด Tien Hou อยู่ไม่ไกลจากวัดเจ้าแม่กวนอิม เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ วัดนี้สร้างขึ้นโดยผู้อพยพชาวกวางตุ้งที่มาอาศัยอยู่ที่นี่ และต่อมาก็ค่อยๆกลายเป็นศูนย์กลางของไซ่ง่อนจีน

องค์ประกอบอาคารด้านในมีการตกแต่งที่สวยงามมาก และมีงานไม่แกะสลักสวยๆให้ชม เดินถ่ายรูปได้เพลินมาก





ด้านข้างมีห้องสามารถมานั่งพักดับร้อน โพสท์รูปเช็คอินได้





วัดนี้ตามรอยในรายการพี่เรย์ แมค มาเลย เพราะเห็นบรรยากาศที่อลังการแล้วอยากมาสัมผัสสักนิดนึง หาอยู่นานกว่าจะเจอ ด้านนอกดูเป็นตึกที่อยู่ในซอกกลางตลาด ดูแล้วก็ไม่แน่ใจ ใช่หรอวะเนี่ย



เข้าไปก็เดินขึ้นบันไดไปอีกประมาณ 4-5 ชั้น ถึงจะพบกับชั้นที่เป็นห้องพระ 1000 องค์




ด้านในสวยงามมาก ผนังถูกเจาะให้เป็นช่องสำหรับวางพระเต็มตลอดทุกด้าน ทำให้รู้สึกว่าผนังนั้นบางเบา ด้วยความที่อยู่สูงทำให้บริเวณนี้อากาศไม่ร้อนมาก เงียบสงบดีครับ



เจอรถครอบครัวนี้เข้าไปถึงกับอึ้ง!!! พ่อ แม่ กับลูก 4 คน บนมอเตอร์ไซค์



มื้อกลางวันก็จัดเฝอเจ้าดังไปอีก 1 ชามใหญ่ Pho Le ที่เห็นเว็บไหนๆก็แนะนำให้มาชิมทั้งนั้น

ถ้ากระเพาะสามารถยัดได้มากกว่านี้ก็อยากจะเบิ้ลอยู่หรอกนะ แต่ชามมันใหญ่มากจริงๆ




 

War Remnants Museum


พิพิธภัณฑ์ร่องรอยสงครามกับความปรารถนาแห่งสันติภาพ ตอนแรกเห็นชื่อนี้ก็รู้สึกแปลกดี ที่นี่เป็นสถานที่จัดแสดงหลักฐานเกี่ยวกับสงครามในเวียดนามที่ฝรั่งเศสและสหรัฐก่อขึ้น ช่วง ปีค.ศ.1954 - 1975 เป็นเวลาถึง 21 ปี เริ่มจัดตั้งขึ้นเมื่อสิ้นสุดสงคราม เริ่มแรกเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงสิ่งของวัตถุเกี่ยวกับโทษกรรมสงครามต่อมาได้เปลี่ยนเป็นชื่อพิพิธภัณฑ์ร่องรอยสงครามอย่างที่เรียกในทุกวันนี้  อาคารที่ใช้ในปัจจุบันสร้างขึ้นเมื่อปี 2002


และที่นี่ก็เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งเดียวของเวียดนามที่เป็น 1 ใน 60 พิพิธภัณฑ์เพื่อสันติภาพขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ



จ่ายเงินคนละ 4หมื่นด่อง เข้าไปในอาคารก็มีโถงกลางที่มี Skylight ให้แสงธรรมชาติส่องลงมากลางอาคาร โดยรอบเป็นพื้นที่ขายของที่ระลึก และเป็นนิทรรศการที่รวบรวมภาพถ่ายและสิ่งของต่างๆไว้



นิทรรศการแสดงเรื่องราวข้อมูลต่างๆของสงครามที่ผ่านมา มีกองพลอาสาสมัครของไทยมาร่วมด้วย



ภายในอาคารมีสิ่งของวัตถุ และรูปภาพมากมาย รวมทั้งภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับสงครามต่อต้านฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกาผู้รุกราน ตลอดจนรูปภาพข่าวเกี่ยวกับสงครามเช่น การฆ่าหมู่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ภาพการโปรยสารพิษเคมีในภาคใต้ การทิ้งระเบิดปูพรมเพื่อทำลายภาคเหนือ ที่ดูแล้วรู้สึกหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก



ผมอ่านข้อความนี้แล้วรู้สึกจุกๆในอกยังไงไม่รู้ มันบรรยายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น และสะท้อนความเลวร้ายของสงครามได้อย่างที่สุด เราคงไม่ได้จะมาพูดว่าใครผิดใครถูก แต่สิ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้วยังไงมันก็ลบเลือนได้ไม่หมด




โซนจัดแสดงกลางแจ้งได้จัดแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ของสหรัฐอเมริกาเช่น เครื่องบินไอพ่น เครื่องบินสอดแนม เครื่องบินเฮลิคอปเตอรที่ลำเลียงทหาร และรถถัง พอมาดูใกล้ๆก็แอบคิดว่าเครื่องบินเหล่านี้มันบินได้จริงไหมเนี่ย ดูเหมือนของเล่นอยู่นะ



เดินดูเครื่องบิน รถถังปรับอารมณ์จากด้านในนิดนึง



ผมรู้สึกดีมากๆที่เลือกจะมาที่นี่เป็นที่สุดท้ายของทริปนี้ ไม่งั้นคงอึนไปทั้งทริปแน่ สงครามมันเป็นสิ่งโหดร้ายที่มนุษย์เราสร้างขึ้น และคิดว่ามันคือสิ่งที่ใช้แก้ปัญหาของความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กันเองได้ แต่จริงๆแล้วสงครามไม่เคยแก้ปัญหาอะไรได้เลย สงครามเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่อดีตกาล ถ้ามันแก้ได้จริงป่านนี้เราคงเป็นโลกที่แสนสงบสุขไปแล้วล่ะ



ได้เวลากลับบ้านแล้ว...


โฮจิมินห์ซิตี้ เป็นเมืองที่ผมอยากจะเรียกมันว่า "ไซ่ง่อน" มากกว่า เพราะมันสื่อถึงเสน่ห์ของเมืองที่มีหลายรสชาติ มีความหวาน เปรี้ยว และขมในตัวเอง "โฮจิมินห์ซิตี้" คงเป็นชื่อที่เวียดนามอยากจะประกาศให้คนรับรู้ในแง่มุมใหม่และลืมอดีตที่ไม่ค่อยอยากจะจำมันเท่าไหร่ แต่ยังไง"สิ่งที่เป็น"ก็คือตัวตนที่ต่อให้เราเปลี่ยนชื่อมันยังไง ที่นี่ก็คือ ไซ่ง่อน อดีตเมืองหลวงที่รุ่งเรืองของอินโดจีนนั่นเอง



Tags:

53 views
bottom of page