top of page

เสพงานศิลป์ 3 วัน 2 คืน ที่ Georgetown Festival

"เฮ้ย!!! ปลายเดือนกรกฎาเราไปปีนังกันดีกว่า มีงาน Georgetown Festival เป็น Art Fest ทั้งเมืองเลย"

ปีนังเป็นเมืองที่มีเรื่องราวสำหรับผม เมื่อสบโอกาสมีหรอจะรั้งรอ จัดไปสิครับ

รีบบอกน้องๆที่ออฟฟิศว่าพวกพี่จะไม่อยู่ 3 วัน ไปดูงานนะจ๊ะ



วันพฤหัสหลังจากสั่งงานลูกน้องที่ออฟฟิศเสร็จเที่ยง ก็รีบชิ่งไปสนามบินดอนเมืองกันเลย

กำหนดการเครื่องออกบ่ายสามโมง แต่ดีเลย์เล็กน้อยได้ออกเดินทางตอนสี่โมงถึงปลายทางก็มืดพอดี

เวลาที่ปีนังจะเร็วกว่าบ้านเรา 1 ชั่วโมง จริงๆอยู่ใกล้กันมาก แต่เพราะเหตุผลทางเศรษฐกิจเค้าเลยใช้เวลา Time Zone ต่างจากเรา


ถึงสนามบินก็เรียก Uber มารับ ซึ่งที่นี่มีบริการทั่วทั้งเมือง รัฐเค้าก็สนับสนุน ไม่ได้เป็นสิ่งผิดกฎหมายแต่อย่างใด มีป้ายโฆษณาในสนามบินหลายจุด และในที่สุดก็ถึงประตูที่พักตอนสองทุ่ม ที่พักของเราทริปนี้คือ East Indies Mansion อยู่ใจกลางจอร์จทาวน์เลย



ที่พักแห่งนี้เป็นบ้านเก่ามีประวัติความเป็นมายาวนาน มีเรื่องราวและรายละเอียดเกี่ยวกับตัวบ้านที่น่าสนใจทีเดียว บรรยากาศเป็นบ้านที่มีคอร์ทตรงกลาง ห้องพักตกแต่งแบบเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยเสน่ห์ในแต่ละมุม



หลังจากนั่งพักให้หายเหนี่อยแล้วก็ออกไปหาอาหารสักหน่อย ที่พักเราตั้งอยู่ในย่าน Little India ซึ่งเดินออกจากโรงแรมไปสักพักก็เจอร้านข้าวแกงแขกๆร้านนึงน่าสนใจ เลยโฉบเข้าไปชิมกันคนละจาน




รสชาติอร่อยใช้ได้ มีความแขกดี คนขายก็อัธยาศัยดี เสียตรงที่ไม่มีกระดาษเช็ดมือเช็ดปาก เลยกินกันมันแผลบไปหน่อย หลังจากนั้นก็ไปหาอะไรกินต่อไปที่ย่าน Julia Street ไม่ไกลนัก เดินไปได้



แถวนี้มีอาหารให้เลือกหลายอย่างเลย บะหมี่ก็น่ากินมากเดินชิมอะไรไปเรื่อยๆ จนเจอรถเข็นเจ้าที่คนนิยมไปกินกัน Lok Lok



มีให้เลือกหลายอย่าง ทั้งเนื้อสัตว์ ลูกชิ้น เห็ด ผัก โดยที่ไม้จะมีสีทาไว้ ราคาก็ต่างกันไป น้ำจิ้มรสชาติถั่วคล้ายๆหมูสเต๊ะรสชาติก็งั้นๆอะนะ ไม่ได้อร่อยเป็นพิเศษอะไร แถมกินไปหลายไม้ก็แพงอยู่เมื่อเทียบกับราคาอาหารอย่างอื่น มีโอกาสไปก็แวะกินเล่นขำๆให้ได้อารมณ์สักสองสามไม้ก็พอ ดูแล้วส่วนใหญ่ก็เป็นนักท่องเที่ยว ไทย จีน นี่แหละที่ตามรีวิวมากินกัน

เดินต่อมาเจอจุดที่ใช่สำหรับเรา น่าจะยิงยาวได้ คือถนน Love Lane ย่านบันเทิงนี่เอง




ย่านถนน Love Lane ตอนแรกที่ได้ยินชื่อนี้ก่อนไปคิดว่ามันเป็นซอยอิโรติครึเปล่าหว่า

แต่ที่เห็นคือร้านนั่งดื่มกินที่เต็มไปด้วยชาวต่างชาติหนุ่มสาวหน้าตาดี

เราเลือกนั่งที่ร้าน Mike's Place ที่อยู่ต้นซอยเลย ผนังทั้งร้านเต็มไปด้วยข้อความที่ผู้มาเยือนเขียนไว้

ดูรวมๆก็สวยดี เหมือน Wallpaper เลย ถ้าอยู่บ้านเราอาจจะมีการประกาศความเป็นบรรพบุรุษกันบ้างแน่ๆ



มีนักร้องที่หน้าตาแต่ตัวเหมือนคนขายประกันแต่เสียงดีโคตรๆๆๆ หลับตานึกว่าฝรั่งร้อง แล้วก็มีลุงอีกคนที่เดินมานึกว่ามาขายถั่วแต่พอหยิบกีตาร์ขึ้นเล่นแล้วร้อง ทำเอาอึ้งในพลังเสียงไปเลย เริ่มดึกก็เป็นเพลงที่มีจังหวะเร็วและสนุกขึ้น ทั้งฝรั่งทั้งจีนลุกมาเต้นกันเต็มถนนเลย พวกเราเองหลังจากที่พ้นวัยรุ่นไปแล้วก็ไม่ค่อยได้ไปสถานบันเทิงเท่าไหร่นัก ส่วนมากจะนั่งชิลๆดื่มคุยกันกับเพื่อนมากกว่า คืนนั้นก็เป็นคืนที่รู้สึกว่าสนุกมากในรอบหลายปีเลยทีเดียว



 

เช้าวันถัดมาเราตื่นกันแต่เช้า ได้เห็นบรรยากาศที่พักตอนเช้าแล้วรู้สึกว่าบ้านที่น่าอยู่มาก

การที่มีคอร์ทกลางบ้านมันให้ความรู้สึกที่โปร่ง สบาย อากาศถ่ายเทได้ดี สดชื่นมาก


ใครอยากดูรูปที่พักเต็มๆ ตามเข้าไปดูในอัลบั้มรูปในเพจได้ ที่นี่


เมื่อสมาชิกพร้อมก็ออกไปกินติ่มซำที่ร้าน Tai Tong Restaurant เป็นร้านติ่มซำที่ได้รับคำแนะนำว่าอร่อย ไปถึงบรรยากาศในร้านคึกคักทีเดียว




ดูแล้วน่ากินมาก จิ้มเอามาชิมเกือบทุกอย่าง วางเต็มโต๊ะเลย

สั่งจนอาม่าหันมาบอก กินให้หมดก่อนไหมพวกเอ็ง !!! มีให้สั่งเยอะไม่หมดง่ายๆหรอก ฮา...



หลังจากอิ่มแล้วเราก็เดินเล่นชมเมือง ถ่ายรูปไป เรื่อยๆ









เดินไปเรื่อยๆก็จะเจอ Street Art แทรกตามมุมตึกต่างๆทั่วไป แบบแรกมีลักษณะเป็นเหล็กดัด พ่นสีดำ สร้างขึ้นโดยศิลปินท้องถิ่น ชื่อ Tang Mun Kian ทำในธีม “Voices of the People” คือเป็นการเล่าเรื่องราวของชาวปีนังนั่นเอง



ที่ผมชอบคือมันเป็นเรื่องราวของที่นี่จริงๆ การนำเอาวิถีชีวิต ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของเค้ามาประกอบให้เป็น street art ไม่ได้ทำแค่เปลือกหรือแค่เพื่อความสวยงาม ไม่ได้แบ่งแยกระดับชั้นของวัฒนธรรม มีตั้งแต่เรื่องราวของรถบะหมี่เกี๊ยว คนทำรองเท้า Jimmy Choo หรือว่าเมื่อก่อนแถวนี้โจรขโมยชุมก็เอามาเล่าอย่างไม่ขัดเขิน (กล้ายอมรับความจริง ไม่เหมือนบ้านเรา) และมันกลายเป็น Information เล่าเรื่องราวของแต่ละย่านแบบที่ไม่ต้องเป็นป้ายทางการ



และงานอีกแบบคือเป็นแบบ interactive painting คือภาพวาดที่ดึงเอาองค์ประกอบของพื้นที่เช่นประตู หน้าต่าง ช่องเปิด มาเป็นส่วนหนึ่งของชิ้นงาน และให้ผู้ชมได้มามีส่วนร่วมในงานศิลปะด้วย โดยนาย Ernest Zacharevic ศิลปินชาวลิธัวเนีย นำเสนอโครงการวาดภาพตามกำแพงให้กับคณะกรรมการงานประจำปี Georgetown Festival ในปี 2012 ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นเอกลักษณ์ และไฮไลท์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มุ่งตรงมาที่จอร์จทาวน์ เพื่อถ่ายภาพเหล่านี้


หลายคนมาเพื่อเก็บภาพให้ครบทุกจุด แปลว่าเค้าต้องไปทั่วเมือง ไม่ได้ไปแค่ที่ๆฮิตๆกัน เป็นการหลอกให้คนมาเดินชมเมืองให้ทั่วๆทางอ้อม ก็ช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจ ทั้งคนขับรถ ร้านอาหาร คาเฟ่ต่างๆ



ตอนแรกก่อนไปเราก็ได้เห็นภาพเหล่านี้มาพอสมควรซึ่งก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันว้าวอะไรมากนัก กะว่าไปเดินดูเฉยๆ แต่พอไปสัมผัสบรรยากาศจริงๆก็รู้สึกได้ถึงความสนุกและมีชีวิตชีวาที่งานศิลปะเหล่านี้เติมแต่งให้กับเมือง เพราะว่าโดยรวมเมืองจอร์จทาวน์ผมว่าค่อนข้างจะดูเงียบเหงานิดๆ เพราะว่าคนน่าจะอพยพไปทำงาน ทำธุรกิจอยู่บริเวณเมืองใหม่มากกว่า การที่เป็น World Heritage สวยๆแต่ไร้ชีวิตมันก็ไม่ชวนให้คนมาเที่ยวดูเท่าไหร่ และผมว่าอิทธิพลของงานศิลปะเหล่านี้ทำให้เกิดการเขียนป้ายต่างทั่วไป เช่นการบอกห้ามจอดรถตรงนี้



ไปต่อในแถบถนนใหญ่ อาคารก็จะมีหน้าตาฝรั่งหน่อย มีทั้งให้ความรู้สึกแบบตะวันตกมากขึ้น อาจด้วยเพราะเป็นที่ตั้งของห้างร้านค้าใหญ่ และเป็นที่ทำการราชการในบางส่วน



ที่ดูเก๋ๆต่างจากผู้อื่นหน่อยก็จะมีรูปแบบ Art Deco มาผสม กับโรงแรมที่ดูอเมริกันโมเดิร์นสไตล์




หลังจากเดินถ่ายรูปเมือง และ Street Art เพลินๆแล้ว เราก็แวะไปดูสถานที่สำคัญของ Georgetown กัน

 

The Blue Mansion สถาปัตยกรรมที่เป็นแรงผลักดันให้ Georgetown กลายเป็น World Heritage


ไม่ได้เวอร์นะ The Blue Mansion บ้านสีฟ้าแห่งนี้ จริงๆมีชื่อว่า Cheong Fatt Tze Mansion หรือ คฤหาสน์ของนายเฉิงฟัตเจ๋อ เป็นสถานที่ที่มีประวัติความเป็นมาค่อนข้างดราม่าเลยทีเดียว


เข้าไปด้านในจะเป็นโถงที่ให้นักท่องเที่ยวรอรอบการนำชม นั่งดูบรรยากาศและงานตกแต่งไปพลางๆ



เมื่อถึงรอบก็จะมีวิทยากรคือคุณลุงคนนี้เล่าประวัติของบ้านหลังนี้ให้ฟังอย่างออกรสชาติเลยทีเดียว



คฤหาสน์หลังนี้เป็นของนายเฉิงฟัตเจ๋อ เป็นเศรษฐีชาวจีนที่อพยพมากจากเมืองจีนแบบเสื่อผืนหมอนใบเมื่อมาถึงเมืองปีนังที่กำลังเริ่มเจริญรุ่งเรืองก็ก่อร่างสร้างตัวจนเป็นมหาเศรษฐีครอบครองธุรกิจต่างๆมากมาย มีธุรกิจในหลายประเทศในแถบเอเชียทั้ง มาเลเชีย สิงคโปร์ ฮ่องกง อินโดนีเชีย และที่ปีนัง

รวยและโด่งดังจนได้ชื่อว่าเป็น Rocky Feller of the East


เข้ามาในส่วนแรกจะเป็นคอร์ทกลางบ้าน เป็นหลักในคติความเชื่อหลักฮวงจุ้ยในการสร้างบ้านของคนจีนให้มีที่เก็บเงินเก็บทอง ผสมกับองค์ประกอบการตกแต่งแบบตะวันตกเอย่างกลมกลืนแต่ละจุดมีเรื่องราว ทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และความรู้ด้านสถาปัตยกรรม ไว้ให้เราได้ศึกษากัน



ตัวคฤหาสน์นั้นสร้างในยุค 1880 ภายในประกอบองค์ประกอบงานตกแต่งที่สวยงามมาก เช่น บานประตูไม้แกะสลักของชาวจีน หน้าต่างกระจกสีเป็นลวดลาย กำแพงอิฐสีน้ำตาล งานตัดและตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบและกระจก เสาเหล็กหล่อจากสก็อตแลนด์ โดยรอบประดับด้วยรูปปั้น รูปสลัก และวัตถุโบราณมากมาย ซึ่งในยุคแรกยังไม่ได้เป็นสีน้ำเงินอย่างปัจจุบันนะครับ



ยุคหลังจากที่นายเฉิงฟัตเจ๋อเสียชีวิตไปแล้ว ความที่ลูกหลานเยอะก็มีการแบ่งมรดกกันไปเยอะ ตามธรรมเนียมหนังจีน ครอบครัวคนรวยก็ต้องมีลูกหลานที่ทำอะไรไม่ค่อยจะเป็นผลาญสมบัติกันสนุกสนาน จนช่วงหลังคฤหาสน์หลังงามนี้กลายเป็นห้องเช่าราคาถูกที่มีครอบครัวคนจนมาอาศัยอยู่กันจนเต็มไปหมด ช่างน่าอนาถแท้ แต่ก็เป็นช่วงนี้แหละที่คฤหาสน์เริ่มกลายเป็นสีน้ำเงินจากการที่สีขาวมันดูโทรมมาก เลยทาสีน้ำเงินซะจะได้ไม่เลอะ



ในทศวรรษที่ 1990 หลังจากทายาทคนสุดท้ายได้เสียชีวิตไป คฤหาสน์แห่งนี้ได้รับการบูรณะจากกลุ่มอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม โดยพยายามรักษารูปแบบทางศิลปะและการตกแต่งให้เหมือนสมัยก่อนมากที่สุด ใช้เวลาบูรณะไปประมาณ 6 ปี เมื่อแล้วเสร็จก็ได้รับรางวัล "Most Excellent" Heritage Conservation Award (Asia-Pacific) จากยูเนสโก ในปี ค.ศ. 2000 และเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้เมืองจอร์จทาวน์ได้รับการยกให้เป็น World Heritage Siteในปี 2008 และกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรุ่งเรืองในอดีตของเมืองปีนัง


ในปี 2011 Blue Mansion แห่งนี้ก็ยังได้รับเลือกจาก Lonely Planet ให้ติดอันดับ “ONE OF 10 GREATEST MANSIONS IN THE WORLD" และอีกหลายรางวัลตามมา

ดูเสร็จแล้วก็ฝนตกเราเลยหาที่หลบฝนหาอะไรกินกันก่อน เห็นร้านหัวมุมตึกใกล้ๆที่พัก ชื่อ Kafetaria Dan Hotel Eng Loh เป็นเหมือน Food Court เล็กๆที่รวมร้านอาหารหลายๆอย่างไว้ด้วยกัน มีทั้งอาหารจีนและแขก ตอนนั้นบ่ายกว่าแล้ว เหลือตัวเลือกไม่มากนัก เลยสั่งข้าวผัด ผัดหมี่ แล้วก็ไก่แบบแขกๆมากิน



เมื่ออิ่มแล้วก็ออกเสาะหาสถาปัตยกรรมงามๆชมกันต่อ อยู่ไม่ไกลเดินจากร้านอาหารสิบก้าวก็ถึง

Penang Peranakan Mansion ที่สุดความรุ่งเรืองของสมบัติวัฒนธรรมของชาวเปอรานากัน


Peranakan คือ คือกลุ่มลูกครึ่งมลายู-จีนที่มีวัฒนธรรมผสมผสาน และสร้างวัฒนธรรมแบบใหม่ขึ้นมาโดยเป็นการนำเอาส่วนผสมระหว่างจีนกับมลายูมารวมกัน เป็นรูปแบบของศิลปะ สถาปัตยกรรมที่มีความเฉพาะตัว


ที่ผมรู้สึกคือรูปลักษณ์ดูเป็นจีน แต่ก็มีองค์ประกอบการตกแต่งแบบมลายูแทรกอยู่ เช่นลวดลายของระเบียงเป็นต้น ซึ่งลักษณะแบบนี้เห็นได้ในหลายๆที่ตั้งแต่ภูเก็ตบ้านเรา เรื่อยไปจนมะละกา ถึงสิงค์โปร์ ซึ่งเป็นจุดที่คนจีนอพยพมาตั้งรกรากกันเยอะ



Penang Peranakan Mansion นี้ เป็นบ้านเก่าที่การจัดแสดงและนำเสนอต่างจาก Blue Mansion ตรงที่เน้นของโชว์มากกว่าเน้นข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ โดยมีคุณลุงเล่าเรื่องของแต่ละห้อง ในแง่ความเชื่อและการใช้ชีวิตของคนสมัยก่อน



ความรู้สึกแรกตอนเห็นบ้านหลังภายนอกนี้ก็รู้สึกว่าอืมมันก็คล้ายๆกับ Blue Mansion แหละนะ ออกจะดูธรรมดา แต่พอเดินดูไปเรื่อยๆก็มีอาการอุทาน "โอ้แม่เจ้า !!!" เรื่อยๆ มีมุมเซอร์ไพรส์เยอะเลย เอาว่าข้างบ้านมีศาลบรรพบุรุษเป็นของตัวเอง 1 หลัง ขนาดเท่าศาลเจ้าทั่วๆไปเลย รวยแค่ไหนถามใจเธอดู





 

หลังจากที่ดูของเก่ากันจนหนำแล้วก็ถึงเวลาเสพงานศิลป์ใหม่ๆบ้าง เลยกางแผนที่ดูจุดที่แสดงงาน Art Fest ต่างๆในเมือง



จุดแรกที่ Whiteaway Arcade เป็นกลุ่มอาคารเก่า มีนิทรรศการงานศิลปะหลากหลายรูปแบบทั้งภาพเขียน ภาพถ่าย มัลติมีเดีย ประติมากรรม ครบทุกรสชาติ สะกิดต่อมความคิดสร้างสรรค์ให้กับเราได้อย่างมาก ได้เห็นแนวความคิดของศิลปินหลายๆชาติในประเทศที่มีวัฒนธรรมหลากหลายกว่าบ้านเรา ทำให้เห็นมุมมองใหม่ๆบ้าง




จากนั้นก็มาที่ Bangunan UAB มาดูเป็นนิทรรศการภาพถ่ายชนเผ่าต่างๆ ที่ใกล้จะสูญหายจากโลกใบนี้

Before they pass away by Jimmy Nelson



มีงาน Craft ผ้าพื้นเมืองก็มีเอามาโชว์ให้ดู ไม่น่าเชื่อว่าผ้าผืนเดียวจะสามารถใส่เรื่องราวเข้าไปได้เหมือนภาพวาดเลย




นิทรรศการ Character Type เป็นศิลปินชาวมาเลเซีย Goh Hun Meng ร่วมกับนักเขียน Gareth Richards ที่ตอนแรกหาอยู่นานไม่รู้อยู่ตรงไหน เดินไปเรื่อยๆดันบังเอิญเจอซะงั้น ไปถึงกำลังจัดนิทรรศการอยู่เลย อยู่ในอาคารเก่าที่เหมือนกำลังซ่อมแซมอยู่ เป็นเรื่องของความพ้องกันของคำในภาษาต่างๆในแถบเอเชีย เช่น คำว่านี้ในภาษาไทยกับภาษาอื่น ความหมายเหมือนกัน แล้วเอามาจัดวางโดยใช้วัสดุที่หลากหลาย เป็นเรื่องที่น่าสนใจดีเพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องศิลปะทางกายภาพเพียงอย่างเดียว มันมีเรื่องของภาษาศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย การได้คุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับศิลปินสนุกสนานมาก ทำให้เราเข้าใจสิ่งที่เค้าต้องการสื่อสารมากขึ้น


เดินเล่นมาชมวิวริมน้ำที่ Clan Jetties of Peneng ที่จะมีบ้านริมน้ำหลังหนึ่งมีภาพวาดบนผนังที่เห็นกันบ่อยๆ แต่ปัจจุบันได้ทาสีทับไปแล้ว น่าเสียดายจัง พักนั่งเล่นดูเรือมาจอดก็นึกถึงในอดีตที่ผู้คนอพยพมาจากที่ต่างๆมาที่นี่คงจะเป็นบรรยากาศเหมือนในหนังใช่ไหม


เหตุผลอย่างหนึ่งที่อยากมาปีนังมานานแล้วคือ ปู่ของผมเป็นคนปีนัง แล้วย้ายครอบครัวไปเมืองไทยตอนเริ่มเป็นหนุ่ม (ปู่เสียไปตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กมาก) มาปีนังก็เพื่อมาดูวิถีชีวิตของบรพบุรุษ นั่งคิดไปเรื่อยๆก็ยิ่งรู้สึกประหลาดถ้าคิดว่าครอบครัวน้องชายปู่ยังอยู่ที่นี่ และถ้าผมเดินไปบอกเค้าว่าเราเป็นญาติกันมันก็คงฮาดีนะ ที่สำคัญคือเราจะพูดกันรู้เรื่องไหม



ป้ายน่ารักดี ชมวิวจนอิ่มใจก็เริ่มหิวกาย เดินข้ามถนนกลับมาเลยกินอาหารเย็นกันก่อนดีกว่า ที่นี่มี Food Court แบบนี้กระจายอยู่ทั่วไปในเมืองเลย




รสชาติอาหารอร่อยดี ขาดอย่างเดียวคือน้ำจิ้มแซ่บๆแบบบ้านเรา



และแล้วเราก็มาถึงอาคาร Dewan Sri Penang ที่เป็นสถานที่เปิดงาน และเป็นที่จัดแสดงโชว์ต่างๆ เพื่อมาสัมผัสกับโชว์ที่ตั้งใจมาดูโดยเฉพาะ "Chorus"


"A fascinating counterpoint of sound and light" - Independent

แค่คำโปรยก็ตื่นตาตื่นใจแล้วไหมล่ะ



ดูเสร็จแล้วก็เกิดอาการงงๆ นี่คือจบแล้ว? มันสื่อสารอะไร? จุดพีคคือ? นี่กูเดินทางข้ามประเทศมาดูใบพัดหมุนเหมือนเตียงเด็กแล้วก็มีเสียง แวงๆๆๆๆ สิบนาทีแล้วก็จบ? ฮา...


บางทีงานศิลปะก็เป็นเรื่องเข้าใจยาก แม้แต่คนที่เรียนจบทางด้านศิลปะประยุกต์มาอย่างเรายังมึน แต่ช่างมัน หาเบียร์เย็นๆกลับไปนั่งจิบที่คฤหาสน์เราดีกว่าคืนนี้


 

เช้าวันถัดมาเราก็ออกมาหาอาหารเช้าใกล้ๆที่พัก ก็ชิมอาหารแขกในร้านดูบ้าง

ถามว่าอร่อยไหม คือมันก็อาจจะอร่อยสำหรับคนที่นั่นก็ได้ เพราะเห็นคนกินเยอะ แต่มันก็ไม่ถูกปากคนไทยพื้นบ้านอย่างเราเท่าไหร่หรอกนะ




อีกสถานที่น่าสนใจที่ส่งท้ายก่อนกลับวันนี้คือ สถานที่ประวัติศาสตร์ของเกาะปีนัง


Fort Cornwallis

ป้อมปราการนี้ตั้งชื่อตามท่านชาร์ล คอร์นเวลลิส ผู้สำเร็จราชการของอังกฤษในยุคนั้น ตัวป้อมมีกำแพงก่ออิฐสูงล้อมรอบ ภายในเป็นสนามหญ้าโล่งๆ มีอาคารคลังแสงเก่าสำหรับเก็บอาวุธ ที่คุมขังนักโทษ โบสถ์ ฯลฯ ถ้าดูรีวิวหลายๆที่ก็จะบอกว่ามีโน่นนี่มากมาย



จุดสำคัญของที่นี่คือรูปปั้นเซอร์ฟรานซิส ไรท์ ผู้ค้นพบเกาะปีนังและได้ทำการเจรจาเช่าเกาะกับสุลต่านให้บริษัท บริติช อีสท์อินเดีย หรือเรียกง่ายๆว่ายึดกลายๆนั่นแหละ เมื่อรับมอบเกาะเรียบร้อยได้ทำการก่อสร้างป้อมปราการแห่งนี้ และคอยดูแลเส้นทางการค้าของอังกฤษในยุคนั้น สร้างเมืองจอร์จทาวน์ให้เป็นเมืองท่าปลอดภาษี ทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว มีการสอนภาษาอังกฤษอย่างเป็นเรื่องเป็นราวครั้งแรกในแถบนี้



ซึ่งเอาเข้าจริงตัวสถานที่มันก็ไม่ค่อยจะมีอะไรมากมายนัก เหมือนสวนสาธารณะที่มีรูปปั้นกัปตันตั้งอยู่ แต่ว่าค่าเข้าแพงมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่เจอ ถ้ามาเวลาน้อย งบจำกัดก็ผ่านไปได้เลยไม่ต้องเสียดาย




เดินเล่นชมเมืองส่งท้ายก่อนแวะไปหาร้านชิคๆนั่งจิบเครื่องดื่มก่อนขึ้นเครื่องกลับที่ Black Kettle